Agentic AI คืออะไร
- พื้นฐานของ Agentic AI หรือ Multi-Agent Systems (MAS)
- Agentic AI ในโลกการตลาด
- การออกแบบสถาปัตยกรรม Agentic AI
- Workflow vs Agent: เมื่อไรควรใช้ระบบขั้นตอน และเมื่อไรควรใช้ Agent
- AI Agent Frameworks: เครื่องมือช่วยพัฒนา Agentic AI
- Types of AI Agents: จำแนกประเภทของ Agent ตามพฤติกรรมและความสามารถ
- อนาคตและวิสัยทัศน์ของ Agentic AI ในมุมการตลาดและการขาย
- ติดต่อขอรับคำปรึกษาด้านการใช้ AI กับ MarTech
ในวันที่ AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่กลายเป็น “ทีมงานดิจิทัล” ที่พร้อมคิดและลงมือทำอย่างมีเป้าหมาย แนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Agentic AI จึงกำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการออกแบบระบบอัจฉริยะในยุคถัดไป Agentic AI ไม่ใช่แค่ระบบที่รอรับคำสั่ง แต่มันคือ “ตัวแทน” ที่มีความเข้าใจบริบท มีเป้าหมายเป็นของตัวเอง และที่สำคัญที่สุด—สามารถตัดสินใจได้โดยอิสระ
ลองนึกภาพ AI ที่ไม่ได้แค่ตอบคำถามหรือให้ข้อมูล แต่มันสามารถ…
- กำหนดเป้าหมายของตัวเองได้ (Goal-Oriented)
- วางแผนและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสถานการณ์ (Planning)
- ตัดสินใจเมื่อต้องเผชิญสิ่งใหม่ (Autonomous Decision-Making)
- ทำงานร่วมกับ AI ตัวอื่นหรือคนในทีมได้อย่างคล่องแคล่ว (Collaboration)
นี่ไม่ใช่แค่ chatbot เวอร์ชันใหม่ แต่มันคือ “ระบบตัวแทนอัจฉริยะ” ที่สามารถทำงานเป็นทีม หรือที่เรียกว่า Agentic AI ได้เลย นึกภาพ AI ในองค์กรที่ทำงานเหมือนผู้ช่วยมือขวา: จัดลำดับงาน ประสานกับระบบต่าง ๆ เรียนรู้จากสิ่งที่ทำ และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกครั้งที่ลงมือ
พื้นฐานของ Agentic AI หรือ Multi-Agent Systems (MAS)
Multi-Agent System (MAS) คือระบบที่ประกอบด้วยหลาย “เอเจนต์” (agents) ซึ่งเป็นหน่วย AI ที่สามารถทำงานได้อย่างอิสระ ทั้งในแง่ของการรับรู้ คิดวิเคราะห์ และลงมือปฏิบัติ โดยแต่ละเอเจนต์มีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง และสามารถสื่อสารหรือโต้ตอบกับเอเจนต์อื่นได้
ความสำคัญของ MAS ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถของแต่ละเอเจนต์เพียงลำพัง แต่คือการออกแบบให้พวกเขาสามารถทำงานร่วมกัน เกิดเป็นพฤติกรรมรวมที่ชาญฉลาด (Emergent Behavior) ซึ่งสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ดีกว่าการใช้ AI ตัวเดียว
Agentic AI ในโลกการตลาด
ลองนึกภาพแคมเปญการตลาดที่มีทีมงานดิจิทัลเบื้องหลัง—ไม่ใช่แค่ AI ตัวเดียว แต่เป็น “ทีมเอเจนต์” ที่ประสานงานกันเหมือนทีมมาร์เก็ตติ้งมืออาชีพ

Agentic AI ในโลกการตลาด คือการใช้เอเจนต์หลายตัวที่รับผิดชอบแต่ละฟังก์ชันเฉพาะ เช่น:
- Agent วิเคราะห์ลูกค้า: แยกกลุ่มเป้าหมาย วิเคราะห์พฤติกรรม
- Agent วางกลยุทธ์คอนเทนต์: สร้างและปรับแผนการสื่อสาร
- Agent ประสานงานแคมเปญ: กระจายงานไปยังช่องทางต่าง ๆ แบบอัตโนมัติ
- Agent ตอบสนองลูกค้า: โต้ตอบแบบเรียลไทม์ในหลายช่องทาง
แต่ละ Agent ทำงานของตัวเองได้อิสระ และที่สำคัญคือ “เรียนรู้ร่วมกัน”
สิ่งนี้ทำให้การตลาดไม่ใช่แค่ระบบอัตโนมัติธรรมดา แต่เป็น “ระบบที่ปรับตัวได้” ตามข้อมูลและสถานการณ์ที่เปลี่ยนตลอดเวลา
Agentic AI เปิดทางให้การตลาดยุคใหม่ทำงานแบบ Dynamic, Realtime และ Personalized ระดับสูง—ในแบบที่ทีมมนุษย์ล้วนทำไม่ได้ นี่คือการเปลี่ยน “AI ผู้ช่วย” ให้กลายเป็น “AI ทีมมาร์เก็ตติ้ง” ที่เก่งขึ้นทุกวัน
การออกแบบสถาปัตยกรรม Agentic AI

Agentic AI คือระบบที่ออกแบบให้ AI มีคุณสมบัติเป็น “ตัวแทน” ที่สามารถคิด ตัดสินใจ และลงมือทำได้เอง โดยไม่ต้องรอคำสั่งในทุกรายละเอียด การออกแบบสถาปัตยกรรม Agentic AI จำเป็นต้องคำนึงถึง 5 องค์ประกอบหลัก:
1. Perception Layer (การรับรู้สถานการณ์) ระบบต้องสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น ลูกค้า พฤติกรรมผู้ใช้งาน ข้อมูลจาก IoT หรือสภาพแวดล้อมดิจิทัล เพื่อให้เอเจนต์เข้าใจบริบทแบบเรียลไทม์
2. Reasoning Layer (การคิดวิเคราะห์และตีความ) ข้อมูลที่ได้รับจะถูกส่งเข้าสู่กลไกวิเคราะห์ เช่น Machine Learning, Rules-based logic หรือ Neural Network เพื่อประเมินสถานการณ์ วิเคราะห์เจตนา หรือคาดการณ์ความต้องการ
3. Goal Layer (การตั้งเป้าหมาย) Agentic AI จะไม่รอให้คนตั้งคำสั่งเสมอไป แต่ต้องสามารถประเมินสถานการณ์แล้วตั้ง “เป้าหมายย่อย” ได้เอง เช่น ต้องการเพิ่ม engagement ต้องการลดเวลาในการตอบกลับ หรือต้องการจัดลำดับงานให้ลูกค้าได้รับบริการเร็วที่สุด
4. Planning Layer (การวางแผนปฏิบัติการ) ระบบต้องมีกลไกวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เช่น เลือกช่องทางที่เหมาะสม เลือกข้อความตอบกลับ เลือกลำดับการทำงานร่วมกับระบบอื่น (workflow orchestration)
5. Action Layer (การลงมือทำ) เมื่อวางแผนเสร็จ ระบบจะลงมือทำโดยอัตโนมัติ เช่น ส่งข้อความ ทำ Personalization สื่อสารกับระบบ CRM หรือแจ้งเตือนทีมขาย ทั้งหมดนี้เกิดจากการตัดสินใจของ AI ไม่ใช่การรันสคริปต์แบบเดิม
Workflow vs Agent: เมื่อไรควรใช้ระบบขั้นตอน และเมื่อไรควรใช้ Agent
ในการสร้างระบบอัตโนมัติ นักการตลาดและนักพัฒนาองค์กรมี 2 ทางเลือกหลักคือ
Workflow-based System และ Agent-based System ซึ่งแต่ละแบบมีบริบทที่เหมาะสมต่างกัน
✅ ใช้ Workflow-based Automation เมื่อ…
- มีขั้นตอนชัดเจน ตายตัว และไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย
เช่น การส่งอีเมลยืนยันคำสั่งซื้อ การจัดคิวข้อมูลเข้าระบบ CRM - เป้าหมายและเงื่อนไขการตัดสินใจสามารถกำหนดไว้ล่วงหน้าได้
เช่น “ถ้า A ให้ทำ B ถ้าไม่ใช่ให้ทำ C” - ต้องการควบคุมแบบระมัดระวังสูง หรือมีกฎเกณฑ์เฉพาะ
- เหมาะกับการเริ่มต้นทำ Automation แบบง่าย ๆ ที่ต้องการความแม่นยำและซ้ำได้เสมอฃ
✅ ใช้ Agent-based System เมื่อ…
- มีความซับซ้อนและไม่สามารถเขียน flow ล่วงหน้าได้หมด
เช่น การดูแลลูกค้าแบบเรียลไทม์ที่สถานการณ์เปลี่ยนตลอด - ต้องการให้ระบบตัดสินใจเองบนบริบทที่เปลี่ยนแปลง
เช่น AI เลือกช่องทางการตอบกลับลูกค้าให้เหมาะสมตามพฤติกรรม - ต้องการความยืดหยุ่นสูง หรือมีหลายระบบย่อยที่ต้องประสานงาน
- เหมาะกับ: Chatbots ขั้นสูง, Customer service AI, ระบบ AI ผู้ช่วยส่วนตัว, Marketing orchestration อัจฉริยะ
AI Agent Frameworks: เครื่องมือช่วยพัฒนา Agentic AI
Agentic AI ไม่ได้สร้างขึ้นมาลอย ๆ แต่มีเครื่องมือ (Frameworks) ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อช่วยให้การพัฒนาเอเจนต์ฉลาดและยืดหยุ่นเป็นเรื่องง่ายขึ้น

🔧 1. LangChain
จุดเด่น: เชื่อมโยง LLM (เช่น GPT) กับเครื่องมือและข้อมูลภายนอก
- ดึงข้อมูลจาก API หรือฐานข้อมูล
- ทำ reasoning หลายขั้นตอน
- เชื่อมต่อกับ workflow ต่าง ๆ เช่น CRM, Google Sheet, Slack
- เหมาะกับ: การสร้างเอเจนต์ที่ต้องเชื่อมต่อกับหลายระบบ เช่น Customer Support, Sales Assistant
2. AutoGen (จาก Microsoft)
จุดเด่น: สร้าง “multi-agent system” ได้แบบโค้ดน้อย และมีเอเจนต์ที่พูดคุยกันได้ AutoGen ช่วยให้:
- ออกแบบการทำงานร่วมกันของหลาย AI
- สร้างสถานการณ์เช่น Agent A วิเคราะห์, Agent B สร้างรายงาน, Agent C ตัดสินใจ
- บริหาร “การสนทนา” ระหว่างเอเจนต์ในรูปแบบ chat-based
- เหมาะกับ: งานที่ต้องมีหลายบทบาท เช่น ทีมงาน AI สำหรับการวางกลยุทธ์การตลาด
3. CrewAI
จุดเด่น: เน้นการสร้าง “ทีมเอเจนต์” ที่ทำงานร่วมกันตามบทบาท (Roles) CrewAI ให้คุณ:
- สร้างโครงสร้างทีมที่แต่ละเอเจนต์มีความรับผิดชอบชัดเจน
- วาง Task Flow ให้เอเจนต์ทำงานร่วมกันตามลำดับ
- กำหนดว่าใครเป็น Planner, Researcher, หรือ Executor ได้
- เหมาะกับ: การออกแบบทีมงาน AI ที่ลงมือทำโปรเจกต์จริง เช่น แคมเปญการตลาดอัตโนมัติ
🧩 Framework อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- Haystack: ใช้สร้าง Agent ที่เน้นการค้นหาข้อมูล (RAG – Retrieval Augmented Generation)
- OpenAgents / AgentVerse: กำลังมาแรงในสาย developer ช่วยทดสอบและสร้างเอเจนต์แบบ GUI
Types of AI Agents: จำแนกประเภทของ Agent ตามพฤติกรรมและความสามารถ
ไม่ใช่ AI ทุกตัวจะฉลาดเท่ากัน—เพราะ Agent ถูกออกแบบตาม “ระดับของความเข้าใจและการปรับตัว”
การรู้จักประเภทของ Agent จึงสำคัญมาก โดยสามารถแบ่งหลัก ๆ ได้ 5 แบบ:
- Simple Reflex Agents
- 🧠 ทำงานแบบ Condition-Action Rules (ถ้า A → ทำ B)
- 💡 ตัวอย่าง: Thermostats, Spam Filters, Rule-based Chatbots
- Model-Based Reflex Agents
- 🧩 มี Internal Model เก็บสถานะภายในเพื่อใช้ตัดสินใจ
- 💡 ตัวอย่าง: Self-driving Cars (obstacle detection), Chess AI, Amazon Bedrock
- Goal-Based Agents
- 🎯 คิดและวางแผนจากเป้าหมาย (Goal-driven reasoning)
- 💡 ตัวอย่าง: Pathfinding Robots, Google Assistant, Google Bard
- Utility-Based Agents
- 📈 ใช้ Utility Function เพื่อเลือกทางเลือกที่ “ดีที่สุด”
- 💡 ตัวอย่าง: Stock Trading Bots, AI Recommendations, Anthropic Claude
- Learning Agents
- 🧠 เรียนรู้จากประสบการณ์ (Self-improving)
- 💡 ตัวอย่าง: AlphaGo, ChatGPT, Autonomous Vehicles, AutoGPT
- Hierarchical Agents
- 🧱 ใช้โครงสร้างแบบ Task Decomposition (แบ่งงานเป็นลำดับชั้น)
- 💡 ตัวอย่าง: HRL Agents, Industrial Automation, UniPi by Google
- Multi-Agent Systems (MAS)
- 🤝 ทำงานแบบ Collaborative หรือ Competitive ระหว่างหลายเอเจนต์
- 💡 ตัวอย่าง: Traffic Coordination, Swarm Robotics, Multiplayer AI, Healthcare

อนาคตและวิสัยทัศน์ของ Agentic AI ในมุมการตลาดและการขาย
ในยุคต่อไป Agentic AI จะไม่ได้เป็นแค่ระบบสนับสนุนหลังบ้านอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” ในทีมการตลาดและการขาย ที่สามารถคิด วางแผน และดำเนินการอย่างอิสระ
จาก AI ผู้ช่วย → สู่ Agent ที่ลงมือวางกลยุทธ์และขับเคลื่อนผลลัพธ์
ตัวอย่างการใช้งาน Agentic AI ที่ทำได้แล้ว:
🔍 1. Scrape Business Emails from Google Maps
เป้าหมาย: ดึงข้อมูลอีเมลจาก Google Maps โดยไม่ใช้ API
เหมาะกับ: ทีมขาย / ธุรกิจที่ต้องการหาลีดใหม่แบบประหยัด
🤖 2. AI-Powered Social Media Content Generator & Publisher
เป้าหมาย: สร้างและโพสต์คอนเทนต์บน LinkedIn, Twitter ฯลฯ อัตโนมัติ
เหมาะกับ: นักการตลาดและผู้ดูแลเพจที่ต้องการระบบช่วยโพสต์รายวัน
📄 3. Automated Web Scraping to CSV + Google Sheets
เป้าหมาย: ดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ แล้วส่งเป็นไฟล์ CSV และบันทึกใน Google Sheets / Excel
เหมาะกับ: งานวิเคราะห์ข้อมูล หรือเก็บข้อมูลคู่แข่ง
🎥 4. AI YouTube Video Summarization
เป้าหมาย: สรุปเนื้อหาจากวิดีโอ YouTube เป็นข้อความ
เหมาะกับ: คอนเทนต์ครีเอเตอร์หรือสายความรู้ที่ต้องการสรุปเนื้อหาเร็ว
🌐 5. Company Enrichment from Website Content
เป้าหมาย: ใช้ GPT วิเคราะห์เว็บไซต์บริษัท เพื่อแยก Market, Industry, Persona
เหมาะกับ: ทีมวิเคราะห์ตลาด และ B2B Marketing
🖼 6. AI Image Generator with Flux
เป้าหมาย: สร้างภาพด้วย AI ผ่าน Hugging Face API
เหมาะกับ: สายออกแบบหรือคอนเทนต์ที่อยากเพิ่มภาพประกอบสวย ๆ
💬 7. AI-Powered Website Chatbot
เป้าหมาย: สร้างแชทบอทเว็บไซต์ด้วย OpenAI สำหรับตอบคำถามลูกค้า
เหมาะกับ: เว็บไซต์ที่ต้องการเพิ่มการมีส่วนร่วมแบบเรียลไทม์
📸 8. Instagram Trend → AI Content
เป้าหมาย: วิเคราะห์เทรนด์ Instagram และสร้างคอนเทนต์ตามเทรนด์อัตโนมัติ
เหมาะกับ: นักการตลาดสายแฟชั่น/ไลฟ์สไตล์ที่ตามกระแส
🎬 9. AI-Powered Short-Form Video Generator
เป้าหมาย: สร้างวิดีโอสั้นแนว TikTok/Youtube Shorts โดยอัตโนมัติ
เหมาะกับ: ทีมคอนเทนต์วิดีโอที่อยากขยายช่องทางการตลาด
📧 10. Gmail AI Auto-Responder
เป้าหมาย: ตอบอีเมลอัตโนมัติด้วย AI แบบร่างตอบกลับ
เหมาะกับ: คนที่มีอีเมลเยอะ และต้องการประหยัดเวลา
📈 11. AI Youtube Trend Finder
เป้าหมาย: ค้นหาเทรนด์ YouTube ตาม Niche ที่ต้องการ
เหมาะกับ: Youtuber และทีมพัฒนาเนื้อหา
✉️ 12. Personalized Marketing Email with AI
เป้าหมาย: วิเคราะห์ Sentiment ลูกค้า และส่งอีเมลแบบเฉพาะบุคคล
เหมาะกับ: CRM / Retention Marketing
📝 13. WordPress AI Content Generator
เป้าหมาย: สร้างบทความ SEO และโพสต์บน WordPress พร้อมบันทึกใน Google Sheets
เหมาะกับ: Blogger และธุรกิจที่เน้น SEO Content
📢 14. Multi-Platform Social Media Factory
เป้าหมาย: สร้างคอนเทนต์อัตโนมัติสำหรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Twitter, IG
เหมาะกับ: Digital Agency หรือผู้ดูแลหลายแบรนด์
🧠 15. Perplexity + GPT4 Content Research
เป้าหมาย: ใช้ Perplexity ค้นคว้าและให้ GPT4 เขียนคอนเทนต์
เหมาะกับ: ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่ต้องการบทความเชิงลึก
👁 16. Vision-Based Web Scraper
เป้าหมาย: ใช้ AI Scraper ที่อ่านภาพและดึงข้อมูล ส่งเข้า Google Sheets
เหมาะกับ: การวิเคราะห์ภาพสินค้า/บริการจากเว็บไซต์
🏭 17. Automated Social Content Factory + Prompt Composer
เป้าหมาย: ระบบช่วยเขียน Prompt และโพสต์คอนเทนต์อัตโนมัติ
เหมาะกับ: นักเขียนคอนเทนต์ที่ต้องการงานเร็ว มีระบบรองรับ
🐦 18. Twitter Virtual AI Influencer
เป้าหมาย: ให้บอทโพสต์บน Twitter แบบมีสไตล์เหมือนอินฟลูเอนเซอร์
เหมาะกับ: แบรนด์ที่อยากสร้างคาแรกเตอร์ AI บนโซเชียล
📝 19. Meeting Transcript → Action Items
เป้าหมาย: วิเคราะห์วิดีโอประชุม และสร้าง To-do หลังประชุม
เหมาะกับ: ทีมงานที่ประชุมบ่อย ต้องการระบบสรุปงานอัตโนมัติ
📍 20. Generate Leads with Google Maps API
เป้าหมาย: ค้นหาธุรกิจบน Google Maps และจัดการข้อมูลใน Google Sheets
เหมาะกับ: ทีมขายที่ทำ lead generation แบบระบุตำแหน่ง
Agentic AI ไม่ใช่แค่เร่งกระบวนการทำงาน แต่นำมาสู่การตลาดที่ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
เหมือนมีทีมการตลาดที่ไม่หลับ—เข้าใจลูกค้า ทำงานแม่น และเรียนรู้ตลอด….นี่คือการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่ AI ไม่เพียง “ช่วยขาย” แต่ “ขายแทน” ได้อย่างเต็มตัว
ติดต่อขอรับคำปรึกษาด้านการใช้ AI กับ MarTech
- ให้คำปรึกษาตั้งแต่การวาง Technology Roadmap
- การเลือกเครื่องมือที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่สุด
- การวาง Data Foundation ให้รองรับสเกลของธุรกิจ
- การ Implement Platform อย่างมีระบบ
- การทำ Change Management และการติดตามการ Adoption
- ควบคุมการบริหารโครงการด้วยผู้มีประสบการณ์ตรง
Email : [email protected]
Credit :
https://medium.com/@vipra_singh/ai-agents-introduction-part-1-fbec7edb857d
https://www.mongodb.com/pt-br/library/resources/ai-agents?x=inokiP
https://www.analyticsvidhya.com/blog/2024/07/ai-agent-frameworks/