D2C – Direct to Consumer เมื่อแบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง
แบรนด์, เจ้าของสินค้า หรือผู้ผลิตสินค้า ขายสินค้าตรงหาผู้บริโภค
Direct to Consumer คือการที่แบรนด์, เจ้าของสินค้า หรือผู้ผลิตสินค้า ขายสินค้าตรงหาผู้บริโภค โดยการตัดคนกลางทั้งหลาย ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวก (Middleman) ออกจากวงจรธุรกิจ โดยประโยชน์หลักของการทำ D2C คือการลดต้นทุนในการที่ต้องจ่ายให้คนกลางแล้ว
ยังมีประโยชน์รองๆอีกมากมาย ที่หลายๆแบรนด์ต้องหันมาวางกลยุทธ์ D2C อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น
- การได้ติดต่อสื่อสารโดยตรงกับลูกค้า ผ่านเครื่องมือและช่องทางของเราเอง ลดการพึ่งพา Paid Media และสามารถออกแบบ Personalization Journey หาลูกค้าแต่ละกลุ่มได้แม่นยำขึ้น
- การได้เก็บข้อมูลของลูกค้าไว้ด้วยตัวเอง หรือที่เรียกว่า 1st Party Data
- การเก็บพฤติกรรมการซื้อสินค้า และข้อมูล Personal Data ไว้ที่เดียวทำให้วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ (Purchasing Behavior) กับลูกค้าแต่ละกลุ่ม (Segmentations) ได้ละเอียดขึ้น
- สร้าง “Lock-In” Effect หรือการที่ลูกค้าติดอยู่กับผลประโยชน์ใน Platform ของเราทำให้ไม่อยากเปลี่ยนไปซื้อ Brand อื่นๆเช่น การให้ลูกค้าได้รับ Point หรือ Cash ในระบบ ที่สามารถใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าชิ้นต่อๆไปได้
- เนื่องจากเห็นข้อมูลของลูกค้าตั้งแต่ 1st session จนซื้อสินค้า ทำให้เราสามารถคำนวณ ค่าใช้จ่ายในการได้ลูกค้า หรือ CAC : Customer Acquisition Cost
- และถ้าลูกค้าเก่า กลับมาซื้อสินค้าซ้ำๆกับเรา โดยผ่าน D2C Platform ของเรา เราก็สามารถคำนวน มูลค่าที่จะได้รับตลอดช่วงเวลาที่ลูกค้าอยู่กับเรา หรือ CLV : Customer Lifetime Value ได้แม่นยำขึ้น

แต่เหรียญยังมี 2 ด้าน การจะสร้าง D2C ก็มีสิ่งที่ต้องลงทุน และข้อควรระวังเช่นกันไม่ว่าจะเป็น
- Focusing on immediate ROI : การคาดหวัง ROI : Return on Investment ที่เร็วเกินไป เนื่องจากในระยะแรก การสร้าง Platform E-commerce, การวางระบบ CRM หรือ CDP, การวาง Automated Flow ต่างๆ จะใช้งบประมาณค่อนข้างสูง
- Pricing Structure : ตัวสินค้าเอง เมื่อต้องแข่งขันกับ Marketplace เจ้าใหญ่ ก็ต้องปรับราคาให้ใกล้เคียง มี Promotion ดึงดูดให้ย้าย Platform และต้องมีเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมในการซื้อ Media เช่น Paid. Search หรือต้องเชื่อมต่อ Google Merchant Center เพื่อทำ Shopping Ads แย่งชิงการมองเห็นด้วยเช่นกัน
- Supply Chain & Fulfillment การจัดการคลังเก็บสินค้า การบริหารวิธีการ จัดเก็บ-แพ็กสินค้า-นำส่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ต้องเลือกว่าจะลงทุนสร้างระบบเอง หรือหา Partner มาดูแลต่อ ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ก็จะเป็น Cost ที่ต้องนำไปคำนวณต้นทุน/กำไรเพิ่ม และจะมีผลกระทบกับราคาที่ต้องสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Brand ที่ประสบความสำเร็จด้าน Direct to Consumer
แม้ว่า Nike จะประสบความสำเร็จทั้งยอดขาย และกำไร แต่ในปี 2011 ก็ได้เริ่มสร้าง E-commerce Platform ของตัวเองเพื่อที่จะสามารถขายสินค้าแบบ D2C ได้ โดยในยุคแรก ยอดขายสินค้าของ Nike ผ่านทาง D2C อยุ่ที่ $2.9 Billion Dollar หรือคิดเป็น 16% ของรายได้ทั้งหมด
แต่พอถึงปี 2020 ซึ่งจากสถานการณ์โควิด การต้องปิดตัวของห้องต่างๆ ทำให้สาขาของ Nike เองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้ปีนี้เองรายได้รวม จากทุกช่องทางของ Nike ลดลง เป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ จาก $39.7 Billion ในปี 2019 เหลือแค่ $37.4 Billion ในปี2020
แต่ในทางตรงกันข้าม ช่องทาง D2C ของ Nike ในปี2020 กลับสร้างรายได้ถึง $12.4 Billion Dollar หรือคิดเป็น 35% ของรายได้ทั้งหมดในปีนั้น

นั่นหมายความว่า แนวโน้มการทำ D2C จะเติบโตอย่างรวดเร็วจากการที่สถานการณ์โควิด-19 ไปเป็นตัวเร่งให้คนอยู่กับบ้าน และใช้จ่ายผ่านช่องทาง Digital มากขึ้น
ติดตาม Marketing Tech Thailand ใน Social Media ได้ที่
ติดต่อขอรับคำปรึกษาด้าน Marketing และ Technology
- ให้คำปรึกษาตั้งแต่การวาง Technology Roadmap
- การเลือกเครื่องมือที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่สุด
- การวาง Data Foundation ให้รองรับสเกลของธุรกิจ
- การ Implement Platform อย่างมีระบบ
- การทำ Change Management และการติดตามการ Adoption
- ควบคุมการบริหารโครงการด้วยผู้มีประสบการณ์ตรง
- รับจำนวนจำกัดไม่เกิน 2 Projects / เดือน