Business-Valuation

Company Valuation (มูลค่าบริษัท) จากมุมมองสองฝั่ง ระหว่าง นักลงทุน vs. ผู้ประกอบการ

เล่าเรื่อง Company Valuation (มูลค่าบริษัท) จากมุมมองสองฝั่ง ระหว่าง นักลงทุน vs. ผู้ประกอบการ (Both Sides of the Table)

ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูกาลใกล้ปิดงบปลายปี ซึ่งทาง Auditor (ของบริษัทที่เป็นผู้ลงทุน) จะขอให้เราทำ Financial Projection ด้วย DCF Method 10 ปี เพื่อดูว่า Valuation ณ ปัจจุบันเป็นเท่าไหร่ เพื่อตัดสินใจว่าจะทำการด้อยค่าของสินทรัพย์หรือไม่ (Impairment of asset) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบัญชีบริษัทของนักลงทุน(ที่อุตสาห์ยอมเสี่ยงมาลงทุนในบริษัทเรา) ด้วย

DCF หรือการคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow) เป็นตัวเลขที่แสดงถึงมูลค่าความถูกแพงของกิจการ โดยการคิดลดกระแสเงินสดจัดเป็นการประเมินมูลค่าแบบสมบูรณ์ (absolute valuation) หมายถึงตัวเลขที่ได้เป็นตัวเลขที่สมบูรณ์ในตัวเองที่สามารถบ่งบอกถึงมูลค่าของกิจการได้โดยไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับกิจการอื่นใด

Credit http://www.investerest.co/investment/discounted-cash-flow/

ปีที่แล้ว ถูกขอให้ทำ 10-year DCF financial projection ภายใน 24 ชั่วโมง เพราะต้องเร่งส่งให้ Auditor ดู ซึ่งแน่นอนว่าผู้ประกอบการก็จะคำนวนแบบมองโลกในแง่ดี อนาคตเราต้องสดใส โตวันโตคืน มีกำไรสวยงามในอนาคต


พอส่งไปเสร็จ Auditor สรุปว่า ไม่เชื่อ! และให้ด้อยค่าสินทรัพย์ (ในส่วนเงินลงทุนที่ลงในบริษัท Startup) สร้างความลำบากใจให้กับนักลงทุนที่เคารพ

นึกย้อนกลับไปสมัยที่ทำงานด้านการลงทุน และบริษัทลงทุนในกองทุนที่ลงทุนใน Startup ทั่วโลก กองนึงลงทุนไป 300 บริษัท พอสิ้นปีก็จะรายงานผลประกอบการมาว่าขอ Write off (ตัดออกจากบัญชี ก็คือบริษัทเจ๊งนั่นแหล่ะ) ปีละ 100 บริษัท ลงทุนเพิ่มอีก 50 บริษัท

ในรายงานจะมีรายการตัวเลขสวยงามของ Net Asset Value (NAV), Internal Rate of Return% (IRR) ซึ่งจะบอกว่าเงินลงทุนที่ลงไปนั้น งอกเงย ออกดอกออกผล มีมูลค่าเพิ่มเป็นเท่าไหร่แล้ว

การคำนวน Net Asset Value

เจาะลึกลงไปในรายงานด้วยความสงสัยว่าเขาคำนวนมายังไง ก็พบคำศัพท์ที่น่าสนใจเช่น Unrealized Capital Gain (ขอแปลว่าแบบชาวบ้านว่า กำไรที่เกิดจากมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถรับรู้ (realize / recognize) เป็นรายได้ทางบัญชีได้ เพราะบริษัทตราบใดที่ยังไม่ถูกขายจริง (หรือเข้าตลาดหลักทรัพย์) Valuation ก็เป็นเพียงตัวเลขสมมติเท่านั้น ซึ่งขอแบ่งเป็นสามกลุ่ม

1. สำหรับบริษัทที่ IPO เข้าตลาดเรียบร้อย อันนี้ Valuation (ในตลาดเรียก Market Cap) จะชัดเจนโปร่งใสมาก เพราะมีตัวเลขมูลค่าชัดเจน ตรวจสอบได้ หุ้นซื้อขายได้จริง มีสภาพคล่อง (Liquidity) หรือบริษัทที่ถูกซื้อกิจการไปแล้ว (Acquisition) ก็จะมีตัวเลขซื้อขายชัดเจนเช่นกัน

2. ถ้าบริษัทที่ยังไม่เข้าตลาด (Private company) แต่มีการ Raised fund มาแล้วโดย trusted 3rd party investor ก็จะใช้ Valuation ที่นักลงทุนในรอบล่าสุด ยอมจ่ายเป็นตัวอ้างอิง ซึ่งถ้ามูลค่าเพิ่มขึ้น ก็จะถือเป็น Unrealized Gain ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ยังไม่สามารถรับรู้เป็นกำไรทางบัญชีได้อยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าถ้าบริษัทถูกซื้อจริงๆ ผู้ซื้อจะยอมจ่ายที่ราคานี้จริงหรือเปล่า (อาจมากว่าหรือน้อยกว่าก็ได้)​หรือ จะมีใครมาซื้อหรือเปล่า (ขายออกหรือเปล่า)​

3. แต่ถ้าบริษัทที่ยังไม่ได้ Raise Fund (เพิ่มอีก หลังจากที่กองทุนเข้าลงทุนแล้ว) ทางกองทุนก็จะคำนวน Fair Market Value (ใครคำนวน และใครตรวจสอบ ไม่ทราบได้)​ เพื่อหามูลค่า

ปัจจุบันของแต่ละบริษัทที่ลงทุนไป ซึ่งก็เดาว่า ต้องมีใครสักคนตั้งมานั่งทำ Financial Projection 10 ปี (เหมือนเราตอนนี้นี่ล่ะ) เสร็จแล้วก็ใช้ตัวเลข Valuation ที่ได้ มาคำนวนเป็น IRR%, NAV ให้นักลงทุน (ในกองทุน)​ ดูให้สบายใจอีกที


สัดส่วนโดยธรรมชาติคือ กลุ่ม 3 เยอะสุด 2 น้อยลงมา และ 1 แทบไม่มี


สรุปคือ Valuation เป็นเพียงตัวเลขสมมติในจินตนาการ ของผู้ซื้อและผู้ขาย (นักลงทุนและผู้ประกอบการ) ถ้าเชื่อว่าอนาคตจะดี (ร่วมกัน)​ตัวเลขก็จะสูง ถ้าคิดว่าอนาคตจะแย่ ตัวเลขก็จะต่ำ

หุ้น 20% ของบริษัทที่ไร้อนาคต มันก็คือ 0 ในขณะที่ หุ้น 1% ของบริษัทที่อนาคตสดใส อาจจะเป็นร้อยล้านก็ได้

บทความโดยคุณ สาโรจน์ อธิวิทวัส ผู้ก่อตั้ง Wisible โปรแกรมบริหารงานขายสำหรับธุรกิจ B2B 

หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่กลุ่ม >> Marketing Tech Thailand


ติดตาม Marketing Tech Thailand ใน Social Media ได้ที่
🔥 Facbook Page : Marketing Tech Thailand
🔥 Facebook Group : Marketing Tech Thailand – Group
📺 Youtube : Marketing Tech Thailand
🌎 Linkedin Group (Global Community) : Marketing Tech Community in Thailand

Similar Posts